Interactive advertising ก็คือการโฆษณาที่มีการปฎิสัมพันธ์กับผู้บริโภคด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สร้างกิจกรรม สร้างเกม หรือใช้เพลง เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมไปกับโฆษณา ซึ่งจะทำให้พวกเขาจดจำแบรนด์นั้นได้ดีมากกว่าการใช้โฆษณาแบบทั่วไป
โฆษณาลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักจะเลือกหยิบเทคโนโลยีบางตัวเข้ามาใช้เพื่อสร้างโฆษณาที่ตราตรึงใจ และในวันนี้ เราจะขอกล่าวถึงโฆษณา 4 ตัวที่นำเทคโนโลยีมามีส่วนร่วมในการปฎิสัมพันธ์กับผู้บริโภคได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งได้แก่
1.A Hunter ____ a bear (โฆษณา Tipp – ex โดย YouTube )
โฆษณาตัวนี้เป็นการร่วมมือระหว่าง YouTube กับ Tipp-ex แบรนด์น้ำยาลบคำผิดชื่อดังของยุโรป โดยเปิดมาด้วยการที่มีหมีตัวหนึ่งเดินเข้ามาในที่พักของนักล่าสัตว์ ซึ่งเขาจะให้เราเลือกว่าจะยิงหมีตัวนั้นหรือไม่ หากเราเลือกไม่ยิง นักล่าสัตว์คนนั้นก็จะหยิบน้ำยาลบคำผิดที่ขึ้นโฆษณาอยู่ด้านข้างคลิปมาลบคำว่า Shoot ออกจากชื่อคลิป และให้เราเขียนคำใหม่ลงตรงที่เขาลบไป ว่าอยากจะให้เขาทำอะไรกับหมี เช่น จักจี้ เล่นฟุตบอล หรือ กอด
2.Unbelievable Bus Shelter (โฆษณา Pepsi Max.)
โฆษณาตัวนี้ถ่ายทำ ณ ป้ายรถบัสแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ โดยพวกเขาได้ติดตั้งจอมอนิเตอร์ไว้ด้านข้างของที่รอรถบัส พร้อมกับติดกล้องฉายออกไปด้านนอกป้าย และเมื่อใดที่มีคนมานั่งรอรถบัสที่ป้ายนี้ วิดีโอที่จอมอนิเตอร์ก็จะถูกเล่นแบบสุ่ม เช่น มีคนโดนสัตว์ประหลาดดึงไปใต้เมือง หรือมนุษย์ต่างดาวบุก วิดีโอดังกล่าวจะเป็น Augmented Reality อย่างหนึ่งซึ่งมีจุดที่กล้องถ่ายไว้เป็นฉากหลัง ทำให้ผู้คนทั่วไปที่มองผ่าน ๆ อาจจะตกใจเพราะเผลอนึกว่าเป็นของจริงได้เหมือนกัน
3.125 Jahre Manner (โฆษณา MANNER)
โฆษณาตัวนี้เป็นเครื่องเล่นที่นำเทคโนโลยี Kinect เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งอยู่ที่ ÖBB Hauptbahnhof Wien โดยจะให้ผู้คนที่เดินผ่านมานั้นมาลองเล่นเกมรับกล่องขนมตรา MANNER ด้วยหัวของเขา (ซึ่งจะแทนเป็นคานไม้ไว้คอยรับกล่อง) หากมีคนใดรับกล่องจนครบ 3 กล่องได้โดยที่ไม่ทำกล่องตกภายใน 3 วินาที คนนั้นก็จะได้แผ่นกระดาษมา 1 แผ่นเพื่อเอาไปแลกของรางวัลที่ร้าน
4.Valentine’s Bus Stop (โฆษณา Coca Cola)
โฆษณาตัวนี้ไม่มีลูกเล่นอะไรมากแต่น่าประทับใจ เริ่มจากติดตั้งจอมินิเตอร์และกล้องไว้ที่ป้ายรถบัส 2 แห่งซึ่งตั้งอยู่ห่างกันแค่ป้ายเดียว จากนั้นก็ Video call ทิ้งไว้ ให้ผู้ที่กำลังรอรถบัสของทั้ง 2 ป้ายได้สังเกตเห็นอีกฝ่าย และเข้ามาพูดคุยกัน
แม้ว่าจะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน แต่ทุกโฆษณาล้วนดึงความสามารถของเทคโนโลยีนั้นออกมาใช้ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AR เพื่อสร้างสถานการณ์ปลอม ๆ แต่ให้ความรู้สึกสมจริง หรือจะแค่ใช้การ Video Call แต่ก็สร้างสถานการณ์ที่น่าจดจำออกมาได้ ทำให้ผู้คนที่ได้พบเจอต่างก็ชื่นชมและสนุกสนานไปกับโฆษณาตัวนั้น ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูดีขึ้นมาด้วย